บ้านที่ใช้โครงสร้างเหล็ก จะถูกออกแบบโครงสร้างแต่ละส่วนมาเป็นอย่างดีแล้ว สามารถประกอบเข้าด้วยกันได้ง่าย ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการออกแบบ และประหยัดงบประมาณการก่อสร้าง นอกจากนี้ ด้วยความเป็นเหล็ก ที่มีความแข็งแรง ทนทาน จึงไม่จำเป็นต้องการการดูแลรักษามากนัก ตลอดช่วงอายุของบ้าน ในขณะที่ บ้านโครงสร้างปูน จำเป็นต้องใช้เวลาในการก่อสร้าง ซึ่งระยะเวลาที่นานออกไป หมายถึงค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และที่สำคัญ สภาวะอากาศ เช่น ความชื้น หรือ ความเย็น ล้วนมีผลต่อการก่ออิฐและปูน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแตกร้าว ที่ต้องการการซ่อมแซม ตลอดช่วงอายุของบ้าน
การสร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก สามารถทำได้ทุกช่วงฤดูกาล และก่อสร้างให้เสร็จได้ในเวลาเพียง 2-3 เดือน โดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาวะอากาศในการก่อสร้างเหมือนบ้านปูน หรือ บ้านไม้ ที่ไม่อาจก่อสร้างได้ง่ายนักในช่วงฤดูฝน ซึ่งความชื้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการก่อสร้างได้ นอกจากนี้แล้ว การสร้างบ้านด้วยเหล็ก ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคหรือความรู้ในการก่อสร้างมากนัก จึงทำให้การก่อสร้างเสร็จได้ง่าย และรวดเร็วกว่า
เหล็ก ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มากที่สุด เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านที่ทำจากเหล็ก สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และการก่อสร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก ไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์พิเศษ จึงเป็นการประหยัดทรัพยากร และลดการขนส่ง ที่สร้างมลภาวะให้กับโลก เหล็กส่วนมากที่นำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านนั้น ผ่านกระบวนการผลิตที่ป้องกันความร้อนและสภาวะอากาศต่างๆ มาแล้ว จึงช่วยลดการดูแลรักษา ซึ่งเป็นการประหยัดพลังงานได้อย่างมากในระยะยาว
เป็นที่ทราบกันดีว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของโครงสร้างของบ้านนั้น ล้วนเกิดจากสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเกิดขึ้นตลอดเวลา การซ่อมแซมบ้านปูน หรือบ้านไม้ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และทุกครั้งของการซ่อมแซม ก็อาจจะก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่น ที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้านได้ ขณะที่บ้านโครงสร้างเหล็ก จะถูกเคลือบผิวป้องกันการสึกหรอ ซึ่งสามารถการันตีระยะเวลาการเสื่อมโทรมได้ถึง 40 ปี หลังการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านที่ถูกสร้างในบริเวณที่เสี่ยงต่อสภาวะอากาศ เช่น ลมแรง หรืออยู่ในพื้นที่มรสุม